Nanxiucun เป็นสถานที่คึกคักและมีชีวิตชีวาสำหรับปัญญาชนหนุ่มสาว ที่มีความสนใจในงานวรรณกรรมศิลปะและการออกแบบ ความนิยมในพื้นที่นี้มีสาเหตุมาจากความใกล้ชิดกับมหาวิทยาลัยหนานจิงอันโด่งดัง การเติบโตของนักศึกษาชาวต่างชาติและการเพิ่มขึ้นของอิทธิพลตะวันตกและนานาชาติ เป็นย่านสร้างสรรค์ตรงกันกับการแสดงออกและการรวมตัวกัน เป็นเรื่องปกติที่ได้ยินการแลกเปลี่ยนทั้ง 'hellos' และ 'Ni Haos'.
บรรยากาศที่มีชีวิตชีวาจะขยายไปสู่การออกแบบที่อบอุ่นของคาเฟ่ ซึ่งยังคงรักษาเสน่ห์ของโรงแรมตั้งอยู่ในอาคารอพาร์ตเมนต์มรดกแห่งยุคทศวรรษที่ 1980 ในการผสมผสานระหว่างวัสดุโบราณและวัสดุที่ทันสมัยและสุนทรียภาพในการออกแบบ Pause Cafe จะทำให้ภูมิปัญญาของเมืองเก่ามีชีวิตชีวาและยังผสมผสานกับวัฒนธรรมที่สร้างสรรค์ขึ้นอีกด้วย ผลที่ได้คือ จุดเชื่อมต่อที่มีเสน่ห์ช่วยให้ลูกค้าได้รับความรู้สึกเก่าแก่และใหม่ในการสนทนาที่เต็มไปด้วยความคิดและจินตนาการที่ไร้ขีดจำกัด.
เรียบเรียงข้อมูล @ ฟรีแปลน
Architects: FANAF
Location: 21 Nanxiucun, Gulou, Nanjing, Jiangsu, China
Architect in Charge: Jin Xin
Area: 60.0 m2
Project Year: 2016
Photographs: Jin Weijian
Manufacturers: Shanghai Rongyi Metal Co. Ltd, Hangzhou Dazhuang Floor Co.
มองหาแนวคิดสำหรับบ้านของคุณ และการสำรองข้อมูลในเว็บไซต์ของฉัน Looking for ideas for your home. And data backup in My website.
วันพุธที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560
มาดู! ห้องไหนควรทาสีอะไรตามหลักวิทยาศาสตร์
มาดู! ห้องไหนควรทาสีอะไรตามหลักวิทยาศาสตร์
การเลือกสีผนังของแต่ละห้องในบ้านเรา บางครั้งก็อาจจะเกิดจากความชอบล้วน ๆ หรือรู้สึกว่าห้องนี้ทาสีนี้แล้วดูดี แต่เคยมั้ยคะที่อยู่ ๆ ไปสักพัก ทำไม๊ทำไมเวลานอนถึงนอนไม่ค่อยจะหลับเลย หรือเวลาอ่านหนังสือเรียนในห้องทำงานดันรู้สึกอยากจะหลับซะให้ได้ วันนี้เราเลยมีบทความดี ๆ ที่ได้คำแนะนำมาจากนักจิตวิทยาที่เป็นที่ปรึกษาด้านการออกแบบกับวิทยาศาสตร์มาให้ทุกคนได้อ่านกัน ไปดูดีกว่าค่ะว่าจริง ๆ แล้วแต่ละห้องควรจะทาสีไหนกันแน่
สีฟ้านั้นเป็นสีที่ชวนให้เรารู้สึกถึงความสงบและการพักผ่อน โดยมันเชื่อมโยงกับธรรมชาติอย่างท้องฟ้าหรือสายน้ำ ซึ่งจากการศึกษาพบว่าคนเราจะนอนหลับได้ดีขึ้นเมื่ออยู่ในห้องที่ทาสีฟ้ามากกว่าสีอื่น ๆ นอกจากนี้มันยังเป็นสีที่ไม่สว่างหรือเข้มมากจนเกินไปด้วยค่ะ ส่วนสีที่ไม่ควรใช้เลยหากไม่อยากนอนหลับแบบไม่เป็นสุขก็คือสีม่วงนะจ๊ะ
สีเขียวมีความเกี่ยวข้องกับความคิดสร้างสรรค์และยังช่วยให้จิตใจของเราจดจ่ออยู่กับงานที่ทำตรงหน้าได้ดี แล้วมันก็เป็นสีที่ทำให้เรารู้สึกถึงธรรมชาติอย่างต้นไม้ซึ่งช่วยทำให้เรามีสมองและความคิดที่ปลอดโปร่งอยู่เสมอ สีเขียวหยกอ่อน ๆ น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดเพราะมันจะได้ไม่ฉูดฉาดจนกระตุ้นเรามากเกินไปนั่นเอง และสีที่ไม่โอเคมาก ๆ ก็คือสีแดง ไม่งั้นมันจะลดประสิทธิภาพการทำงานของเราได้น้า
สีโทนส้มหรือแดงจะช่วยกระตุ้นความอยากอาหารของเราได้ ดังนั้นมันจึงเหมาะมากที่จะใช้กับห้องครัว อีกอย่างนะคะ การใช้สีที่สดใสในห้องนี้จะช่วยทำให้เรารู้สึกสนุกสนานและมีชีวิตชีวาขึ้นอีกด้วยเวลานั่งกินอาหารตอนเช้า ๆ แต่สีที่ไม่แนะนำนั้นคือสีเหลืองเขียวนั่นเอง เพราะมันเป็นสีที่ไม่เหมาะกับการอยู่ใกล้อาหาร จะทำให้เรารู้สึกไม่ดีซะเปล่า ๆ
การใช้สีขาวอาจจะทำให้ห้องน้ำดูสะอาดตลอดเวลาก็จริง แต่มันก็ทำให้เรารู้สึกเบื่อและจืดชืดได้ง่าย ๆ เหมือนกัน เพราะงั้นสีชมพูอ่อนดูจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า มันเป็นสีที่เหมาะกับทุกสภาพผิวของคนเรา และยังทำให้รู้สึกอบอุ่นหลังการอาบน้ำอีกต่างหาก และห้ามใช้สีนีออนทาห้องนี้เด็ดขาดเลยนะคะ เพราะคงไม่มีใครอยากติดอยู่ในห้องเล็ก ๆ ที่มีสีสันทำร้ายสายตากันหรอกเนอะ
ห้องนี้เป็นห้องสำหรับการพักผ่อน ดูทีวี หรือนั่งคุยเล่นกับเพื่อน ๆ ซึ่งการใช้สีโทนอบอุ่นอย่าง สีทราย สีน้ำตาลอ่อน ๆ นั้นดูจะเหมาะสมที่สุด จะได้ช่วยให้เรารู้สึกผ่อนคลาย ให้บรรยากาศแบบเงียบ ๆ สงบ ส่วนสีที่ควรหลีกเลี่ยงก็คือสีโทนมืด ๆ เพราะมันจะทำให้รู้สึกอึมครึมและหดหู่ใจมากเกินไป
ที่มา: purewow
การเลือกสีผนังของแต่ละห้องในบ้านเรา บางครั้งก็อาจจะเกิดจากความชอบล้วน ๆ หรือรู้สึกว่าห้องนี้ทาสีนี้แล้วดูดี แต่เคยมั้ยคะที่อยู่ ๆ ไปสักพัก ทำไม๊ทำไมเวลานอนถึงนอนไม่ค่อยจะหลับเลย หรือเวลาอ่านหนังสือเรียนในห้องทำงานดันรู้สึกอยากจะหลับซะให้ได้ วันนี้เราเลยมีบทความดี ๆ ที่ได้คำแนะนำมาจากนักจิตวิทยาที่เป็นที่ปรึกษาด้านการออกแบบกับวิทยาศาสตร์มาให้ทุกคนได้อ่านกัน ไปดูดีกว่าค่ะว่าจริง ๆ แล้วแต่ละห้องควรจะทาสีไหนกันแน่
- ห้องนอน : โทนสีฟ้าอุ่น
สีฟ้านั้นเป็นสีที่ชวนให้เรารู้สึกถึงความสงบและการพักผ่อน โดยมันเชื่อมโยงกับธรรมชาติอย่างท้องฟ้าหรือสายน้ำ ซึ่งจากการศึกษาพบว่าคนเราจะนอนหลับได้ดีขึ้นเมื่ออยู่ในห้องที่ทาสีฟ้ามากกว่าสีอื่น ๆ นอกจากนี้มันยังเป็นสีที่ไม่สว่างหรือเข้มมากจนเกินไปด้วยค่ะ ส่วนสีที่ไม่ควรใช้เลยหากไม่อยากนอนหลับแบบไม่เป็นสุขก็คือสีม่วงนะจ๊ะ
- ห้องทำงาน : เขียวอ่อน ๆ
สีเขียวมีความเกี่ยวข้องกับความคิดสร้างสรรค์และยังช่วยให้จิตใจของเราจดจ่ออยู่กับงานที่ทำตรงหน้าได้ดี แล้วมันก็เป็นสีที่ทำให้เรารู้สึกถึงธรรมชาติอย่างต้นไม้ซึ่งช่วยทำให้เรามีสมองและความคิดที่ปลอดโปร่งอยู่เสมอ สีเขียวหยกอ่อน ๆ น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดเพราะมันจะได้ไม่ฉูดฉาดจนกระตุ้นเรามากเกินไปนั่นเอง และสีที่ไม่โอเคมาก ๆ ก็คือสีแดง ไม่งั้นมันจะลดประสิทธิภาพการทำงานของเราได้น้า
- ห้องครัว : ส้มชาเย็น
สีโทนส้มหรือแดงจะช่วยกระตุ้นความอยากอาหารของเราได้ ดังนั้นมันจึงเหมาะมากที่จะใช้กับห้องครัว อีกอย่างนะคะ การใช้สีที่สดใสในห้องนี้จะช่วยทำให้เรารู้สึกสนุกสนานและมีชีวิตชีวาขึ้นอีกด้วยเวลานั่งกินอาหารตอนเช้า ๆ แต่สีที่ไม่แนะนำนั้นคือสีเหลืองเขียวนั่นเอง เพราะมันเป็นสีที่ไม่เหมาะกับการอยู่ใกล้อาหาร จะทำให้เรารู้สึกไม่ดีซะเปล่า ๆ
- ห้องน้ำ/ห้องแต่งตัว : สีชมพูอ่อน
การใช้สีขาวอาจจะทำให้ห้องน้ำดูสะอาดตลอดเวลาก็จริง แต่มันก็ทำให้เรารู้สึกเบื่อและจืดชืดได้ง่าย ๆ เหมือนกัน เพราะงั้นสีชมพูอ่อนดูจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า มันเป็นสีที่เหมาะกับทุกสภาพผิวของคนเรา และยังทำให้รู้สึกอบอุ่นหลังการอาบน้ำอีกต่างหาก และห้ามใช้สีนีออนทาห้องนี้เด็ดขาดเลยนะคะ เพราะคงไม่มีใครอยากติดอยู่ในห้องเล็ก ๆ ที่มีสีสันทำร้ายสายตากันหรอกเนอะ
- ห้องนั่งเล่น : ทรายอบอุ่น
ห้องนี้เป็นห้องสำหรับการพักผ่อน ดูทีวี หรือนั่งคุยเล่นกับเพื่อน ๆ ซึ่งการใช้สีโทนอบอุ่นอย่าง สีทราย สีน้ำตาลอ่อน ๆ นั้นดูจะเหมาะสมที่สุด จะได้ช่วยให้เรารู้สึกผ่อนคลาย ให้บรรยากาศแบบเงียบ ๆ สงบ ส่วนสีที่ควรหลีกเลี่ยงก็คือสีโทนมืด ๆ เพราะมันจะทำให้รู้สึกอึมครึมและหดหู่ใจมากเกินไป
ที่มา: purewow
6 เรื่องที่ต้องรู้เกี่ยวกับโรคแผลในกระเพาะอาหาร
6 เรื่องที่ต้องรู้เกี่ยวกับโรคแผลในกระเพาะอาหาร
โรคแผลในกระเพาะอาหาร (Gastric ulcer) คือโรคที่มีแผลเกิดขึ้นในกระเพาะอาหาร และ/หรือ ลำไส้เล็กส่วนต้นที่เรียกว่า ดูโอดีนัม (Duodenum) ซึ่งแน่นอนว่าสามารถสร้างความทรมานให้แก่ผู้ป่วยได้อย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งนี้เราลองมาดู 6 ความจริงเกี่ยวกับโรคแผลในกระเพาะอาหารกันดีกว่าค่ะ
1.เกิดได้กับทุกคน
โรคแผลในกระเพาะอาหารสามารถพบได้ในทุกช่วงอายุ ตั้งแต่วัยเด็กไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ ซึ่งในปี 2014 ชาวอเมริกันที่เป็นโรคดังกล่าวมักมีอายุอยู่ในช่วง 45-64 ปี ซึ่งถือว่ามากที่สุดเมื่อเทียบกับช่วงอายุอื่นๆ โดยสาเหตุหลักมักเกิดจากการติดเชื้อจากแบคทีเรียที่มีชื่อว่า เอช ไพโลไร (H. pylori หรือ Helicobacter pylori) อีกทั้งอาจเกิดจากผลข้างเคียงของยาต้านการอักเสบ เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน ไดโคฟีแนค ฯลฯ
2.ต้องระมัดระวังการทานอาหารมากขึ้น
อาหารที่ผู้ป่วยโรคดังกล่าวควรหลีกเลี่ยง คือ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน อาหารที่มีไขมันสูง อาหารเผ็ด หรือบรรดาอาหารที่ทำให้กระเพาะต้องใช้เวลาในการย่อยมากขึ้น ทั้งนี้อาหารที่ควรทานในช่วงนี้ คือ อาหารที่มีรสอ่อนและสามารถย่อยได้ง่าย
3.การทานอาหารน้อยลงไม่ได้ช่วยให้อาการดีขึ้น
บางคนอาจกลัวว่าอาหารที่ตนทานจะทำให้ร่างกายแสดงอาการบางอย่างออกมามากขึ้น จึงพยายามทานอาหารให้น้อยลง ซึ่งการปล่อยให้ท้องว่างโดยไม่มีอาหารตกถึงท้องเลยอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ ดังนั้นอย่าไปกลัวการทานอาหารค่ะ แต่ให้คุณทานให้ครบมื้อตามปกติ แต่แค่ต้องหลีกเลี่ยงอาหารบางชนิดตามที่กล่าวไปข้างต้นเท่านั้นเอง
4.อย่าเครียด
แม้ว่าความเครียดจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก แต่หากคุณรู้ตัวว่ากำลังป่วยเป็นโรคแผลในกระเพาะอาหารอยู่ล่ะก็ คุณคงต้องต้องสลัดและจัดการกับความเครียดให้อยู่หมัดซะแล้วล่ะค่ะ เพราะความเครียดและความกังวลจะทำให้อาการของคุณแย่ลงและจะทำให้ร่างกายของคุณฟื้นตัวยากขึ้นอีกด้วย
5.ยังคงทานอาหารที่มีค่าความเป็นกรดได้
แม้ว่าอาหารรสจัดจะเป็นอาหารที่คุณควรหลีกเลี่ยงในช่วงที่คุณป่วย ซึ่งแน่นอนว่าอาหารที่เปรี้ยวจัดอาจทำให้อาการของคุณแย่ลง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะไม่สามารถทานอาหารที่มีรสเปรี้ยวได้อีกแล้ว เพราะการทานอาหารที่ไม่ได้เปรี้ยวหรือมีค่าความเป็นกรดมากเกินไปยังพอเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ ดังนั้นคนที่ติดรสเปรี้ยวเวลาทานอาหารก็ไม่ต้องกังวลไปค่ะ
6.อย่าทานอาหารก่อนนอน
หากใครที่ชอบทานอาหารก่อนเข้านอน ก็อาจต้องเปลี่ยนพฤติกรรมเสียใหม่ค่ะ เพราะมันจะทำให้กระเพาะหลั่งกรดออกมามากเพื่อย่อยอาหาร ซึ่งแน่นอนว่าจะทำให้คุณรู้สึกปวดท้องได้
เป็นยังไงกันบ้างคะกับ 6 ความจริงเกี่ยวกับโรคแผลในกระเพาะอาหารที่เรานำมาฝากกัน ทีนี้คุณคงจะรู้จักสาเหตุ และวิธีป้องกันโรคกระเพาะอาหารกันมากขึ้นแล้ว จะได้เลือกรับประทานอาหารและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่จะทำให้คุณห่างไกลจากโรคกระเพาะกันค่ะ
ที่มา: nytimes
โรคแผลในกระเพาะอาหาร (Gastric ulcer) คือโรคที่มีแผลเกิดขึ้นในกระเพาะอาหาร และ/หรือ ลำไส้เล็กส่วนต้นที่เรียกว่า ดูโอดีนัม (Duodenum) ซึ่งแน่นอนว่าสามารถสร้างความทรมานให้แก่ผู้ป่วยได้อย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งนี้เราลองมาดู 6 ความจริงเกี่ยวกับโรคแผลในกระเพาะอาหารกันดีกว่าค่ะ
1.เกิดได้กับทุกคน
โรคแผลในกระเพาะอาหารสามารถพบได้ในทุกช่วงอายุ ตั้งแต่วัยเด็กไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ ซึ่งในปี 2014 ชาวอเมริกันที่เป็นโรคดังกล่าวมักมีอายุอยู่ในช่วง 45-64 ปี ซึ่งถือว่ามากที่สุดเมื่อเทียบกับช่วงอายุอื่นๆ โดยสาเหตุหลักมักเกิดจากการติดเชื้อจากแบคทีเรียที่มีชื่อว่า เอช ไพโลไร (H. pylori หรือ Helicobacter pylori) อีกทั้งอาจเกิดจากผลข้างเคียงของยาต้านการอักเสบ เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน ไดโคฟีแนค ฯลฯ
2.ต้องระมัดระวังการทานอาหารมากขึ้น
อาหารที่ผู้ป่วยโรคดังกล่าวควรหลีกเลี่ยง คือ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน อาหารที่มีไขมันสูง อาหารเผ็ด หรือบรรดาอาหารที่ทำให้กระเพาะต้องใช้เวลาในการย่อยมากขึ้น ทั้งนี้อาหารที่ควรทานในช่วงนี้ คือ อาหารที่มีรสอ่อนและสามารถย่อยได้ง่าย
3.การทานอาหารน้อยลงไม่ได้ช่วยให้อาการดีขึ้น
บางคนอาจกลัวว่าอาหารที่ตนทานจะทำให้ร่างกายแสดงอาการบางอย่างออกมามากขึ้น จึงพยายามทานอาหารให้น้อยลง ซึ่งการปล่อยให้ท้องว่างโดยไม่มีอาหารตกถึงท้องเลยอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ ดังนั้นอย่าไปกลัวการทานอาหารค่ะ แต่ให้คุณทานให้ครบมื้อตามปกติ แต่แค่ต้องหลีกเลี่ยงอาหารบางชนิดตามที่กล่าวไปข้างต้นเท่านั้นเอง
4.อย่าเครียด
แม้ว่าความเครียดจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก แต่หากคุณรู้ตัวว่ากำลังป่วยเป็นโรคแผลในกระเพาะอาหารอยู่ล่ะก็ คุณคงต้องต้องสลัดและจัดการกับความเครียดให้อยู่หมัดซะแล้วล่ะค่ะ เพราะความเครียดและความกังวลจะทำให้อาการของคุณแย่ลงและจะทำให้ร่างกายของคุณฟื้นตัวยากขึ้นอีกด้วย
5.ยังคงทานอาหารที่มีค่าความเป็นกรดได้
แม้ว่าอาหารรสจัดจะเป็นอาหารที่คุณควรหลีกเลี่ยงในช่วงที่คุณป่วย ซึ่งแน่นอนว่าอาหารที่เปรี้ยวจัดอาจทำให้อาการของคุณแย่ลง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะไม่สามารถทานอาหารที่มีรสเปรี้ยวได้อีกแล้ว เพราะการทานอาหารที่ไม่ได้เปรี้ยวหรือมีค่าความเป็นกรดมากเกินไปยังพอเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ ดังนั้นคนที่ติดรสเปรี้ยวเวลาทานอาหารก็ไม่ต้องกังวลไปค่ะ
6.อย่าทานอาหารก่อนนอน
หากใครที่ชอบทานอาหารก่อนเข้านอน ก็อาจต้องเปลี่ยนพฤติกรรมเสียใหม่ค่ะ เพราะมันจะทำให้กระเพาะหลั่งกรดออกมามากเพื่อย่อยอาหาร ซึ่งแน่นอนว่าจะทำให้คุณรู้สึกปวดท้องได้
เป็นยังไงกันบ้างคะกับ 6 ความจริงเกี่ยวกับโรคแผลในกระเพาะอาหารที่เรานำมาฝากกัน ทีนี้คุณคงจะรู้จักสาเหตุ และวิธีป้องกันโรคกระเพาะอาหารกันมากขึ้นแล้ว จะได้เลือกรับประทานอาหารและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่จะทำให้คุณห่างไกลจากโรคกระเพาะกันค่ะ
ที่มา: nytimes
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)