Reforma Vivenda Eixample Barcelona เป็นโครงการปรับปรุงอพาร์ตเมนต์ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เสร็จสมบูรณ์โดย NARCH. ตั้งอยู่ในย่าน Eixample ของบาร์เซโลนา ประเทศสเปน.
คำขอของลูกค้าประกอบด้วยพื้นที่ขนาดใหญ่พอที่จะจัดงานครอบครัวและห้องพัก 2 ห้อง การสร้างอพาร์ทเมนต์ขนาด 64 ตารางเมตร (689 ตารางฟุต) โดยไม่มีผนัง เราต้องการเก็บพื้นกระเบื้องโมเสคดั้งเดิมไว้เพื่อให้เห็นรูปแบบห้องเดิม องค์ประกอบทั้งหมดจะถูกจัดระเบียบใหม่ การวางห้องครัวและพื้นที่จัดเก็บตามแนวผนังให้ความต่อเนื่องในเชิงพื้นที่.
เรียบเรียงข้อมูล @ ฟรีแปลน
Photos by: Adrià Goula Sardà
มองหาแนวคิดสำหรับบ้านของคุณ และการสำรองข้อมูลในเว็บไซต์ของฉัน Looking for ideas for your home. And data backup in My website.
วันอังคารที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560
การปรับปรุงอพาร์ตเมนต์สร้างบรรยากาศที่สดใส และพื้นที่ที่เต็มไปด้วยแสง
ป้ายกำกับ:
Apartment,
Barcelona,
Bedroom,
Bookshelf,
Decorative Accessory,
Dining Room,
Eixample,
Floor plans,
Interior Design,
Lighting,
Living Room,
NARCH,
Remodeling,
Spain,
wall decor
6 วิธีทำความสะอาดหัวฝักบัวอาบน้ำง่าย ๆ ไร้คราบสกปรกฝังแน่น
วิธีทำความสะอาดหัวฝักบัวอาบน้ำอย่างง่าย ๆ ทั้งแบบติดผนังและถอดออกได้ ด้วยอุปกรณ์ทำความสะอาดที่สามารถหาได้จากในบ้านของเราเอง
อย่าคิดว่าการอาบน้ำกับฝักบัวทุกวันจะทำให้ร่างกายสะอาดนะคะ ยิ่งคนที่ไม่เคยทำความสะอาดหัวฝักบัวอาบน้ำด้วยแล้ว ก็จะยิ่งสกปรกเข้าไปใหญ่ เพราะถ้าลองสังเกตดี ๆ จะเห็นว่ามีคราบตะกรัน คราบน้ำเกาะติดอยู่มากมาย นี่ยังไม่รวมคราบสกปรกที่อยู่ในฝักบัวอีกนะเนี่ย เอาเป็นว่าใครที่ไม่อยากอาบน้ำกับสิ่งสกปรก ตามมาดูวิธีทำความสะอาดหัวฝักบัวอาบน้ำที่กระปุกดอทคอมได้นำมาฝากกันในวันนี้เลยดีกว่าค่ะ ทั้งทำได้เองง่าย ๆ แถมใช้อุปกรณ์ที่หาได้จากในครัวเรือนอีกต่างหาก
1. วิธีทำความสะอาดหัวฝักบัวแบบถอดได้
วิธีนี้จะแนะนำให้ใช้สูตรน้ำส้มสายชูในการทำความสะอาด โดยเริ่มจากถอดหัวฝักบัวออกมาแช่ในน้ำส้มสายชู หากฝักบัวที่บ้านทำมาจากโลหะ สามารถนำฝักบัวไปต้มในน้ำส้มสายชู 15 นาทีได้เลยค่ะ แต่ถ้าทำมาจากทองเหลือง ทอง หรือนิกเกิล ให้แช่ทิ้งไว้แค่ 30 นาทีโดยไม่ต้องต้ม ระหว่างนั้นกรดที่อยู่ในน้ำส้มสายชูก็จะเข้าไปละลายคราบน้ำและสิ่งสกปรกให้หลุดออก เมื่อครบกำหนดก็นำฝักบัวขึ้นมาล้างน้ำเปล่าและใช้แปรงสีฟันที่ไม่ใช้แล้วขัดทั้งข้างในและข้างนอก เช็ดด้วยผ้าไมโครไฟเบอร์ให้แห้งแล้วจึงต่อหัวฝักบัวเข้าที่เดิม เปิดน้ำไหลทิ้งสักพักเพื่อไล่คราบตกค้างออกให้หมดก่อนอาบน้ำ
2. วิธีทำความสะอาดฝักบัวที่ถอดออกไม่ได้
วิธีนี้ก็ยังคงใช้น้ำส้มสายชูเหมือนเดิมค่ะ เริ่มจากเทน้ำส้มสายชูลงในถุงพลาสติกกะปริมาณให้ท่วมพอดีหัวฝักบัว แล้วนำไปสวมเข้าในหัวฝักบัว รัดปากถุงกับท่อฝักบัวให้แน่หรือจะใช้เชือกรัดอีกชั้นด้วยก็ได้ ทิ้งไว้อย่างน้อย 30 นาทีหรือทั้งคืน แต่ถ้าฝักบัวทำมาจากทองเหลือง ทอง หรือนิกเกิลให้แช่ไว้เพียง 30 นาทีเท่านั้น แล้วแก้มัดเอาถุงออก (ขั้นตอนนี้ต้องระวังอย่าให้น้ำในถุงหกเข้าตาด้วยนะคะ) เปิดน้ำตามปกติทิ้งไว้สักพักเพื่อไล่คราบตะกรันและคราบสกปรกให้หลุดออกมากับน้ำ หลังจากนั้นนำแปรงสีฟันที่ไม่ใช้แล้วมาขัดตามจุดต่าง ๆ ของฝักบัว ให้สะอาด ปิดท้ายด้วยใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์หรือผ้าขนนุ่มเช็ดให้แห้ง
3. ขัดหัวฝักบัวชนิดยางด้วยยาสีฟัน
บ้านไหนที่มีหัวฝักบัวที่ทำมาจากยางและหมั่นทำความสะอาดเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ดันมาเจอคราบสกปรกที่หัวฉีดซะนี่ ให้นำยาสีฟันมาป้ายลงไปแล้วใช้นิ้วมือหรือแปรงสีฟันที่ไม่ใช้แล้วขัด จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด เช็ดให้แห้ง จะสังเกตเห็นว่าคราบหลุดหายไป
4. ทำความสะอาดตัวกรองด้านในหัวฝักบัว
มาทำความสะอาดอย่างล้ำลึก ด้วยการนำแผ่นกรองน้ำขนาดเล็กที่อยู่ภายในฝักบัวออกมาล้างทำความสะอาด ซึ่งแผ่นกรองที่ว่านี้จะอยู่ใกล้ระหว่างข้อต่อของหัวฝักบัวและท่อน้ำ แนะนำให้ดูจากคู่มือการใช้งานว่าถอดหัวฝักบัวออกอย่างไรและตัวกรองอยู่ตรงไหน เพราะฝักบัวแต่ละอันไม่เหมือนกัน และเมื่อนำออกมาได้แล้วให้ใช้แปรงสีฟันขนนุ่มขัดเบา ๆ และล้างด้วยน้ำเปล่าเท่านั้น ห้ามขัดแรงหรือใช้น้ำยาประเภทสารเคมีเด็ดขาด
5. กำจัดคราบหนักด้วยสูตรเบกกิ้งโซดา
ไม่ได้มีแค่น้ำส้มสายชูเพียงอย่างเดียวที่ทำความสะอาดหัวฝักบัวได้ เพราะของที่อยู่ใช้ครัวเรือนอย่าง เบกกิ้งโซดาก็สามารถหยิบมาทำความสะอาดได้เหมือนกัน โดยผสมเบกกิ้งโซดา 1/3 ถ้วยตวง กับน้ำส้มสายชู 1 ถ้วยตวง แล้วเทลงถุงพลาสติก นำไปสวมหัวฝักบัวไว้แล้วรัดให้แน่น และส่วนผสมต้องท่วมหัวฉีด แช่ทิ้งไว้นานหน่อยประมาณ 2-3 ชั่วโมงสำหรับคราบฝังแน่น จากนั้นนำถุงออก ใช้แปรงขัด ๆ ถู ๆ อีกนิด แล้วเปิดน้ำทิ้งก็เป็นอันใช้ได้
6. สูตรน้ำส้มสายชูและน้ำมะนาวกำจัดคราบทั่วไป
ส่วนคราบทั่ว ๆ ไปที่ทำความสะอาดได้ไม่ยาก แนะนำให้ผสมน้ำส้มสายชู 400 มิลลิลิตร กับน้ำมะนาว 1/3 ถ้วยตวงให้เข้ากัน แล้วเทใส่หยอดปั๊ม จากนั้นถอดหัวฝักบัวออกจากท่อน้ำ วางไว้ในกะละมังหรือขันน้ำ ค่อย ๆ หยดส่วนผสมเข้าไปด้านในหัวฝักบัว แช่ทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง หลังจากนั้นใช้แปรงสีฟันขัดคราบเพื่อทำความสะอาดและล้างออกให้เกลี้ยง
เมื่อรู้อย่างนี้แล้วยังจะมีใครที่ไม่อยากทำความสะอาดหัวฝักบัวอยู่อีกไหมคะ ฉะนั้นมาทำความสะอาดหัวฝักบัวตามวิธีที่เราได้นำมาฝากกันในวันนี้ดีกว่า แล้วจะรู้ว่ากาอาบน้ำชำระล้างร่างกายให้สะอาดอย่างหมดจนมันเป็นแบบนี้นี่เอง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก wikihow, Waterpik, Frugallysustainable และ Food
อย่าเสี่ยงปวดหลัง 5 ข้อควรรู้ไว้ก่อนเลือกซื้อที่นอนใหม่
อย่าเสี่ยงปวดหลัง 5 ข้อควรรู้ไว้ก่อนเลือกซื้อที่นอนใหม่
อย่างที่เราทราบกันดีว่า ฟูกที่นอนนั้นมีราคาค่อนข้างสูง จึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนการซื้อ เพราะหากเราซื้อแบบสุ่มสี่สุ่มห้า นอกจากจะทำให้สุขภาพเสียแล้วมันก็ยังทำให้คุณเสียเงินไปอย่างเปล่าประโยชน์อีกด้วย อย่างไรก็ตาม วันนี้เราจะพาคุณไปดูว่าก่อนที่จะตัดสินใจซื้อฟูกที่นอนนั้นเราควรคำนึงถึงเรื่องอะไรบ้าง
1.ทำความรู้จักกับชนิดของฟูก
อันดับแรกคุณต้องรู้จักชนิดของฟูกที่นอนก่อนค่ะ ซึ่งมันค่อนข้างมีหลายประเภท ทั้งนี้มีฟูกสามประเภทที่คุณควรรู้จักค่ะ สำหรับฟูกชนิดแรกนั้นก็คือ ฟูกสปริงซึ่งเป็นฟูกที่มีการนำเส้นลวดมาใช้เป็นส่วนประกอบ ฟูกชนิดนี้เหมาะสำหรับเด็กหรือวัยรุ่นแต่ไม่เหมาะกับผู้สูงอายุหรือคนที่มีน้ำหนักมาก เพราะอาจทำให้เกิดอาการปวดหลังตามมา สำหรับฟูกชนิดที่สองคือ ฟูกเมมโมรี่โฟม ฟูกชนิดนี้ทำจากโพลียูรีเท็นซึ่งเป็นโฟมชนิดหนึ่ง อย่างไรก็ดี ฟูกดังกล่าวสามารถช่วยลดอาการปวดเมื่อยและเหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีแผลกดทับ สำหรับฟูกชนิดสุดท้ายที่ค่อนข้างเป็นที่นิยมก็คือ ฟูกยางพาราค่ะ โดยมันจะมีความยืดหยุ่นและไม่ทำให้รู้สึกปวดหลังแต่มักมีราคาแพง
2.คำนึงถึงความแข็งหรือนุ่ม
ฟูกที่นอนที่วางขายอยู่นั้นมีความแข็งหรือนุ่มให้เลือกแตกต่างกัน โดยขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคนค่ะว่าอยากนอนบนที่นอนที่ให้ความรู้สึกแบบใด อย่างไรก็ตาม ฟูกที่นอนที่ให้ความรู้สึกแข็งสำหรับบางคนอาจนุ่มสำหรับคนอื่นก็ได้ค่ะ ซึ่งน้ำหนักตัวก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้แต่ละคนรู้สึกถึงความนุ่มหรือแข็งต่างกัน ทั้งนี้คุณอาจต้องระวังฟูกที่นอนที่นิ่มเกินไปจนทำให้ร่างกายยวบขณะนอน เพราะมันอาจทำให้คุณรู้สึกปวดหลังได้ค่ะ
3.ทดสอบโดยการนอน
หากคุณไปห้างสรรพสินค้าหรือร้านขายเตียงที่เขาไม่มีข้อห้ามให้ลูกค้านั่งหรือนอนบนเตียง แม้ว่าคุณอาจรู้สึกอายสายตาคนมอง แต่การได้ทดลองนอนบนเตียงสักครู่นั้นจะทำให้คุณได้รู้ว่าเตียงดังกล่าวมีลักษณะตรงตามที่คุณต้องการหรือไม่ เพราะหากไม่ได้ทดสอบด้วยตัวเองแล้วคุณมาพบภายหลังการซื้อว่ามันไม่เวิร์ค คุณก็อาจเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์
4.ตรวจสอบการรับประกัน
ในการเลือกซื้อฟูกที่นอนสักชิ้นนั้น นอกจากการพิจารณาถึงความนุ่มหรือแข็งที่ตรงตามความต้องการ คุณภาพของวัตถุ หรือราคาที่คุณสามารถจ่ายได้แล้วนั้น คุณควรคำนึงถึงการรับประกันภายหลังซื้อสินค้าด้วยค่ะ ซึ่งหากเป็นฟูกที่นอนที่มีราคาแพงหรือเป็นแบรนด์ดังนั้นส่วนมากจะมีการรับประกันสินค้าค่ะ โดยมันจะช่วยเซฟเงินในกระเป๋าได้ในกรณีที่ฟูกที่นอนยวบหรือมีปัญหา
5.อย่าลืมคำนึงถึงอายุการใช้งาน
The Better Sleep Council ได้แนะนำว่า เราควรเปลี่ยนฟูกที่นอนทุกๆ 7-10 ปี แต่หากคุณรู้สึกว่าฟูกที่คุณนอนอยู่ทุกคืนนั้นเป็นต้นเหตุทำให้คุณรู้สึกปวดหลังหรือรู้สึกไม่สบายตัว คุณก็ควรเปลี่ยนที่นอนก่อนครบอายุการใช้งานเพื่อสุขภาพที่ดีของตัวคุณเอง
สำหรับใครที่กำลังคิดจะเปลี่ยนฟูกที่นอนใหม่ คุณควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนซื้อเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมาหรือเสียเงินไปโดยไม่ได้รับประโยชน์สูงสุดนั่นเอง
ที่มา: purewow
อย่างที่เราทราบกันดีว่า ฟูกที่นอนนั้นมีราคาค่อนข้างสูง จึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนการซื้อ เพราะหากเราซื้อแบบสุ่มสี่สุ่มห้า นอกจากจะทำให้สุขภาพเสียแล้วมันก็ยังทำให้คุณเสียเงินไปอย่างเปล่าประโยชน์อีกด้วย อย่างไรก็ตาม วันนี้เราจะพาคุณไปดูว่าก่อนที่จะตัดสินใจซื้อฟูกที่นอนนั้นเราควรคำนึงถึงเรื่องอะไรบ้าง
1.ทำความรู้จักกับชนิดของฟูก
อันดับแรกคุณต้องรู้จักชนิดของฟูกที่นอนก่อนค่ะ ซึ่งมันค่อนข้างมีหลายประเภท ทั้งนี้มีฟูกสามประเภทที่คุณควรรู้จักค่ะ สำหรับฟูกชนิดแรกนั้นก็คือ ฟูกสปริงซึ่งเป็นฟูกที่มีการนำเส้นลวดมาใช้เป็นส่วนประกอบ ฟูกชนิดนี้เหมาะสำหรับเด็กหรือวัยรุ่นแต่ไม่เหมาะกับผู้สูงอายุหรือคนที่มีน้ำหนักมาก เพราะอาจทำให้เกิดอาการปวดหลังตามมา สำหรับฟูกชนิดที่สองคือ ฟูกเมมโมรี่โฟม ฟูกชนิดนี้ทำจากโพลียูรีเท็นซึ่งเป็นโฟมชนิดหนึ่ง อย่างไรก็ดี ฟูกดังกล่าวสามารถช่วยลดอาการปวดเมื่อยและเหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีแผลกดทับ สำหรับฟูกชนิดสุดท้ายที่ค่อนข้างเป็นที่นิยมก็คือ ฟูกยางพาราค่ะ โดยมันจะมีความยืดหยุ่นและไม่ทำให้รู้สึกปวดหลังแต่มักมีราคาแพง
2.คำนึงถึงความแข็งหรือนุ่ม
ฟูกที่นอนที่วางขายอยู่นั้นมีความแข็งหรือนุ่มให้เลือกแตกต่างกัน โดยขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคนค่ะว่าอยากนอนบนที่นอนที่ให้ความรู้สึกแบบใด อย่างไรก็ตาม ฟูกที่นอนที่ให้ความรู้สึกแข็งสำหรับบางคนอาจนุ่มสำหรับคนอื่นก็ได้ค่ะ ซึ่งน้ำหนักตัวก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้แต่ละคนรู้สึกถึงความนุ่มหรือแข็งต่างกัน ทั้งนี้คุณอาจต้องระวังฟูกที่นอนที่นิ่มเกินไปจนทำให้ร่างกายยวบขณะนอน เพราะมันอาจทำให้คุณรู้สึกปวดหลังได้ค่ะ
3.ทดสอบโดยการนอน
หากคุณไปห้างสรรพสินค้าหรือร้านขายเตียงที่เขาไม่มีข้อห้ามให้ลูกค้านั่งหรือนอนบนเตียง แม้ว่าคุณอาจรู้สึกอายสายตาคนมอง แต่การได้ทดลองนอนบนเตียงสักครู่นั้นจะทำให้คุณได้รู้ว่าเตียงดังกล่าวมีลักษณะตรงตามที่คุณต้องการหรือไม่ เพราะหากไม่ได้ทดสอบด้วยตัวเองแล้วคุณมาพบภายหลังการซื้อว่ามันไม่เวิร์ค คุณก็อาจเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์
4.ตรวจสอบการรับประกัน
ในการเลือกซื้อฟูกที่นอนสักชิ้นนั้น นอกจากการพิจารณาถึงความนุ่มหรือแข็งที่ตรงตามความต้องการ คุณภาพของวัตถุ หรือราคาที่คุณสามารถจ่ายได้แล้วนั้น คุณควรคำนึงถึงการรับประกันภายหลังซื้อสินค้าด้วยค่ะ ซึ่งหากเป็นฟูกที่นอนที่มีราคาแพงหรือเป็นแบรนด์ดังนั้นส่วนมากจะมีการรับประกันสินค้าค่ะ โดยมันจะช่วยเซฟเงินในกระเป๋าได้ในกรณีที่ฟูกที่นอนยวบหรือมีปัญหา
5.อย่าลืมคำนึงถึงอายุการใช้งาน
The Better Sleep Council ได้แนะนำว่า เราควรเปลี่ยนฟูกที่นอนทุกๆ 7-10 ปี แต่หากคุณรู้สึกว่าฟูกที่คุณนอนอยู่ทุกคืนนั้นเป็นต้นเหตุทำให้คุณรู้สึกปวดหลังหรือรู้สึกไม่สบายตัว คุณก็ควรเปลี่ยนที่นอนก่อนครบอายุการใช้งานเพื่อสุขภาพที่ดีของตัวคุณเอง
สำหรับใครที่กำลังคิดจะเปลี่ยนฟูกที่นอนใหม่ คุณควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนซื้อเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมาหรือเสียเงินไปโดยไม่ได้รับประโยชน์สูงสุดนั่นเอง
ที่มา: purewow
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)